Tuesday, February 3, 2015

เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ยากอย่างที่คิด


เก่งภาษาอังกฤษ ไม่ยากอย่างที่คิดภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่คนไทยเรียนมาตั้งแต่อนุบาล จนกระทั่งมหาวิทยาลัย แต่หลายคนก็ยังพูดไม่ได้เสียที จะโทษแต่ระบบการศึกษาภาษาไทยก็ใช่เรื่อง เรากลับมามองที่ตัวเองก่อนดีกว่า ว่าเราได้พยายามหรือให้ความสำคัญกับมันอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง วันนี้มีเคล็ดลับในการพัฒนาภาษาอังกฤษมาฝากกันค่ะ
1. หาเพื่อนชาวต่างชาติออนไลน์
เดี๋ยวนี้โลกเราแคบลงด้วย โซเชียลมีเดีย สังคมเราไม่ได้จำกัดอยู่แต่แวดวงเพื่อนฝูงที่โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย แต่ยังมีสังคมออนไลน์ที่เชื่อมต่อทั่วโลก ถ้าเราไม่มีเพื่อนชาวต่างชาติตัวเป็นๆ เราอาจหาได้จากสังคมออนไลน์นี่แหละค่ะ เช่นใน skype ก็จะมีกลุ่มสำหรับสมาชิกที่ต้องการหาเพื่อนชาวต่างชาติเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ เราก็เข้าไปแจมเลยค่ะ นอกจากได้ฝึกภาษาแล้ว ยังได้เพื่อนใหม่และมีโอกาสเรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติด้วย
2. สนุกไปกับซีรี่ย์ด้วยซับไทเทิ้ลอังกฤษ
ส่วนใหญ่ เวลาเราดูหนังฝรั่งหรือซีรี่ย์ฝรั่งเรามักจะอ่านซับไทยใช่มั้ยคะ ลองเปลี่ยนเป็นซับไทเทิ้ลภาษาอังกฤษบ้าง ก็สนุกไปอีกแบบนะคะ และยังได้ฝึกทักษะการฟังและการอ่านด้วย
3. หาหนังสือภาษาอังกฤษอ่าน
เดี๋ยวนี้หนังสือภาษาอังกฤษมีให้เลือกหลากหลายค่ะ ลองเลือกหนังสือในเรื่องที่ตัวเองสนใจ ที่ไม่ยากเกินไปสำหรับเรา ขอแนะนำสำนักพิมพ์ Penguin นะคะ หนังสือจะแบ่งระดับความยากง่ายค่ะ มีตั้งแต่ beginner ไปจนถึง advanced ประเภทของหนังสือก็มีให้เลือกหลากหลายค่ะ เลือกอ่านได้ตามความสนใจ จะอ่านในเวลาว่าง บนรถ หรือก่อนนอน ก็ได้ประโยชน์ทั้งนั้นค่ะ นอกจากความเพลิดเพลินแล้ว ยังได้ความรู้อีกด้วยค่ะ
4. ผิดเป็นครู
การที่เราจะพูดภาษาอังกฤษให้คล่องเนี่ย เราต้องไม่กลัวผิดค่ะ พูดไปเลยค่ะ ทุกคนที่เรียนภาษาต่างชาติจนสามารถพูดได้คล่องแล้วล้วนต้องเคยผ่านจุดนี้มาแล้วทั้งนั้น ประสบการณ์จะสอนเราเองค่ะ
5. เขียนไดอารี่เป็นภาษาอังกฤษ
ซื้อสมุดมาสักเล่ม แล้วลงมือเขียนเลยค่ะ อาจจะเป็นการบรรยายถึงกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน หรือระบายความรู้สึกต่างๆ เขียนเป็นประจำ เป็นการพัฒนาทักษะการเขียนไปในตัวด้วยค่ะ ตอนช่วงที่พี่จิ๊บต้องสอบเขียน essay รู้สึกว่าการเขียนไดอารี่ทำให้เขียนข้อสอบได้ลื่นไหลขึ้นเยอะเลยเทคนิคเหล่านี้ ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ แค่เรามุ่งมั่น และฝึกฝนเป็นประจำสม่ำเสมอ เราก็จะเก่งภาษาอังกฤษยิ่งๆขึ้นไปค่ะ 



5 เทคนิคลับฝึกภาษาอังกฤษ : ให้พูดเก่งขั้นเทพ! Top 5 secret tips for Speaking English Fluently!!


1. Start with Listening! เริ่มต้นจากการฟัง!
.
ถ้าคุณอยากพูดภาษาอังกฤษได้ คุณต้องเริ่มต้นจากการฟัง!
.
ฟัง ฟัง ฟังแล้วก็ฟัง!
.
หัวใจสำคัญ 2 ข้อก็คือ คุณต้องเลือกฟังสื่อที่ไม่ยากเกินไปสำหรับคุณ (รู้ศัพท์ในสื่อนั้นๆมากกว่า 80%)
.
และข้อที่ 2 คือคุณต้องฟังทุกวัน! อย่างมีวินัยและตั้งใจ วันละ 1 ชั่วโมงขึ้นไป (แบ่งได้ เช้า 20 นาที เที่ยง 20นาที และเย็นอีก 20 นาที เวลารถติดก็ฟังได้)
.
เรากล้าท้าเลย ถ้าคุณฟังภาษาอังกฤษทุกวัน 1 เดือนผ่านไปคุณจะแปลกใจตัวเอง ว่าทำไมเราเก่งภาษาอังกฤษขึ้นขนาดนี้
.
แต่ถ้าคุณฟังภาษาอังกฤษทุกวันตลอด 1 ปี คุณจะจำตัวเองวันนี้ไม่ได้เลย!!
.
(อ่านต่อเพิ่มเติม บทความ “อยากพูดอังกฤษได้ อย่า(พึ่ง)ฝึกพูด” ได้ที่ http://www.mindenglish.net/article/stopspeaking/)
.
.
.
2. Use Photographic Memory! เรียนรู้เป็นภาพ ไม่ใช่ตัวอักษร!
.
เลิกท่องศัพท์(แบบเดิมๆ)ได้แล้ว
.
หยุดการท่องศัพท์แบบเป็นลิสต์ยาวๆที่เราต้องมาแปลเป็นไทย หันมาใช้วิธีเรียนรู้ศัพท์แบบเป็นภาพ เป็นเรื่องราวแทน
.
ใครยังท่องศัพท์แบบเดิมๆ ไม่มีทางพูดอังกฤษได้คล่อง พูดเลย!
.
(อ่านเพิ่มเติม บทความ “อยากพูดอังกฤษคล่อง ต้องงดท่องศัพท์” ได้ที่ http://www.mindenglish.net/article/stopvocab1/ และ “วิธีท่องศัพท์ ฉบับเทพ!” ได้ที่ http://www.mindenglish.net/article/greatvocab1/)
.
.
.
3. Don’s Study Grammar rules! หยุดท่องกฏแกรมม่าร์ซะ!
.
ใครยังนั่งท่อง S+V to be+V ing+ …+ …+ ….ไปเรื่อยๆ หรือยังท่องกริยา 3 ช่อง ท่องกฏไวยากรณ์ต่างๆ
.
ถ้าท่องไปสอบ ท่องไว้เขียน Writing เขียน Essay ต่างๆ นี่โอเค
.
แต่ถ้าท่องไว้ใช้พูด คุณเข้าใจผิดแล้ว!!!
.
ไม่มีใครพูด คล่องเพราะท่องกฏแกรมม่าร์หรอก บอกเลย!
.
(อ่านเพิ่มเติม บทความ “อยากพูดอังกฤษได้ ให้หยุดเรียน Grammar” ได้ที่ http://www.mindenglish.net/article/stopgrammar1/)
.
.
.
4. No Translation! อย่าแปลเป็นไทย!
.
อยากพูดอังกฤษให้คล่อง ต้องพูดได้อย่างเป็นอัตโนมัติ
.
การพูดได้อย่างเป็นอัตโนมัติคือ ฟัง-คิด-พูด ต้องเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด โดยไม่มีการแปลเป็นไทยในหัว
.
เพราะฉะนั้น เราควรพยายามแปลเป็นไทยให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
.
สาเหตุที่เราพูดภาษาอังกฤษแล้วตะกุกตะกัก ไม่ไหลลื่น ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะเรามักต้องนึกศัพท์
.
และที่เราต้องนึกศัพท์ เพราะเราคิดเป็นภาษาไทยในหัวก่อนเนี่ยแหละ ถึงต้องแปลกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ จึงต้องนึกศัพท์
.
เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดเป็นภาษาอังกฤษได้ ก็จะไม่ต้องนึกศัพท์ (แน่สิ คิดเป็นภาษาอังกฤษแล้ว จะนึกศัพท์ภาษาอังกฤษทำไม?)
.
เมื่อนั้น เราจะพูดอังกฤษได้โคตรคล่อง!
.
(อ่านต่อเพิ่มเติม บทความ “อยากพูดอังกฤษคล่อง ต้องอย่าแปล!” ได้ที่ http://www.mindenglish.net/article/notranslation/)
.
.
.
5. Change Environment! เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เหมือนอยู่เมืองนอก
.
พยายามเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทุกอย่างในชีวิตประจำวันให้เป็นภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด
.
เม้าท์กับเพื่อน >>> พยายามหาเพื่อนฝรั่งคุยแชทบ้าง คุย Skype บ้าง
.
ดูหนัง-ดูละคร >>> เปลี่ยนมาเป็นดูหนัง ดูซีรี่ย์ และต้องดูให้ถูกวิธีด้วย ดูผิดวิธี ดูเป็นพันเรื่องยังไงก็ไม่เก่ง (อ่านเพิ่มเติม บทความ “ดูหนังยังไง ให้พูดอังกฤษได้” ได้ที่ http://www.mindenglish.net/article/watchmovies/
.
ฟังเพลง >>> จากเพลงไทยสุดดราม่า หันมาฟังเพลงฝรั่งบ้าง (บทความถัดๆไป จะแนะนำเรื่องการฟังเพลงอย่างไร ให้แจ่มที่สุด)
.
ดูข่าว >>> จากดูเรื่องเล่าเช้านี้ ลองเปลี่ยนเป็นดูข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศบ้าง ชอบสำเนียงอเมริกันก็ลอง CNN ถ้าชอบสำเนียงบริทิชเก๋ๆ BBC ก็ถือว่าดีมาก
.
อ่านหนังสือ>>> ลองเปลี่ยนมาอ่านหนังสือต่างประเทศบ้าง เริ่มจากแนวที่ตัวเองชอบก่อนก็ได้ พยายามเริ่มจากง่ายๆไปก่อน

หลักไวยากรณ์


หลักไวยากรณ์
ประโยค คือส่วนที่สำคัญที่สุดในโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เพราะในชีวิตประจำวัน เรามักพูดออกมาเป็นประโยค เพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ แต่ประโยคนั้นประกอบขึ้นด้วยคำต่างๆ ดังนั้นถ้าเราจะเริ่มศึกษาวิธีการแต่งประโยค เราจึงต้องเริ่มต้นศึกษาจากคำก่อน
Words
ชนิดของคำในภาษาอังกฤษมี 8 ชนิดด้วยกัน คือ
1. Nouns (คำนาม)
เช่น God, man, John, American, friend, star, stone, air, mile, beauty ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ แนวคิด นามธรรม และความเชื่อ
2. Pronouns (คำสรรพนาม)
เช่น I, you, he, she, my, your, his, that, who, what, which, one, some ใช้เรียกแทนคำนาม จะได้ไม่ต้องเอ่ยนามนั้นซ้ำอีก
ตัวอย่าง:
  John works at the hospital.             He is a doctor.
  Kate is my friend.             I know her well.
  A book is on the desk.     The book which is on the desk is about history.
  The children are playing outside.                 Some of them are crying.
3. Adjectives (คำคุณศัพท์)
ใช้ขยาย noun กับ pronoun เพื่อบรรยายให้เห็นลักษณะของ noun กับ pronoun ชัดเจนยิ่งขึ้น แบ่งออกเป็น adjective สำหรับบอกลักษณะ บอกปริมาณ และบอกจำนวน
     -        Qualifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกลักษณะ เช่น beautiful, healthy, kind, poor, fast, dry, black
ตัวอย่าง:
Noun
Adj. + Noun
Adj. + Adj. + Noun
  An apple              A red apple         A crisp, red apple
  A girl    A tall girl             A beautiful, tall girl
     -        Quantifier Adjectives หรือคำคุณศัพท์ที่ใช้บอกปริมาณ เช่น many, much, few, little
ตัวอย่าง:
Noun
Adj. + Noun
  An apple              Many apples
  money   A little money
     -        Numeral Adjectives หรือคำคุณศัพท์ใช้บอกจำนวนนับลำดับที่ เช่น one, two, three, first, second
ตัวอย่าง:
Noun
Adj. + Noun
  A house                Two houses
  Floor     First floor
4. Verbs (คำกริยา)
เช่น go, take, fight, speak, sleep, wait ใช้แสดงกริยาอาการต่างๆ เป็นส่วนสำคัญในภาคแสดงของประโยค นอกจากนี้ คำกริยายังแบ่งได้เป็น กริยาแท้ และกริยาไม่แท้
     -        Finite Verbs กริยาแท้หรือคำกริยาที่สามารถผันตามประธานและรูปกาลได้
     -        Non-finite Verbs (Verbals) กริยาไม่แท้ ไม่สามารถเปลี่ยนรูปได้
ตัวอย่าง: verb "be" มีกริยาในรูปต่างๆ ดังนี้
  Finite Form         Am, is, are, was, were
  Non-finite Form                Infinitive = to be
  Present Participle = being
  Past Participle = been
  Gerund = being
 5. Adverbs (คำวิเศษณ์)
เช่น well, fast, long, gently, recently, again, yesterday, soon, rather, perhaps, not
ใช้ขยาย verb, adverb, adjective, preposition, conjunction, phrase, sentence เพื่อเพิ่มความหมายให้กับสิ่งที่ถูกขยาย
ตัวอย่าง:
  ขยาย  verb           He walks.             He walks fast.
  ขยาย  adverb       The dog grows quickly.                  The dog grows very quickly.
  ขยาย  adjective   It is hot today.    It is surprisingly hot today.
  ขยาย  preposition              My cat sits beside me.      My cat sits right beside me.
  ขยาย  conjunction             She will come though it is late.    She will come even though
   it is late.
  ขยาย  phrase       The hotel is on the top of
   the mountain.    The hotel is nearly on the top of
   the mountain.
  ขยาย  sentence    The bus leaves at 10 p.m.               However, the bus leaves at
   10 p.m.
6. Prepositions (คำบุพบท)
เช่น at, in, into, of, for ใช้เชื่อมกริยากับส่วนต่างๆ ของประโยค เพื่อบอกเวลา สถานที่ และทิศทาง ทำให้ประโยคสมบูรณ์
ตัวอย่าง:
  In           He is in the pool.
  On          There is a mark on your shirt.
  At           He always arrives late at school.
  Against                 A woman is standing against the door.
  Up to     I sleep up to 8 hours a day.
7. Conjunctions (คำสันธาน)
เช่น and, but, or, nor, that, if, because ใช้เชื่อมคำหรือประโยค มีทั้ง conjunction แบบคล้อยตาม ขัดแย้ง และเป็นเหตุเป็นผล

ตัวอย่าง:
  And       Thais eat with a spoon and fork.
  But         BMW is beautiful but expensive.
  Or          Would you like coffee or tea?
  Neithe...nor         Neither I nor she speaks Spanish.
  Because                Tim passed the exam because he studied hard.
8. Interjections (คำอุทาน)
เช่น oh, alas, hurrah ใช้แสดงความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆ
ตัวอย่าง:
  Well      Well! That’s expensive.

  Oh          Oh! That’s great.

Tense


Tenes
ก่อนอื่นเราดูตารางคร่าวๆ ก็จะเห็นว่าตารางนี้ มี 4 คอลัมน์ กับอีก 3 แถว รวมทั้งหมดไฝว้กันออกมาได้เป็น 12 ช่อง
       โดยที่หัวตารางด้านบนในแนวตั้ง จะเป็นสิ่งที่เรียกว่า tense จะมี 4 อัน คือ
       1. Simple  2. Continuous  3. Perfect  4. Perfect Continuous
       ส่วนหัวตารางด้านซ้ายในแนวนอนจะเป็น time (เวลา) จะมี 3 อัน คือ
       1. Present ( ปัจจุบัน)  2. Past (อดีต)  3. Future (อนาคต)
        ***ค่อยๆ ดูไปด้วยกันทีละคอลัมน์ในแนวตั้ง เวลาอ่านชื่อ tense ก็อ่านช่องด้านซ้ายก่อน แล้วก็ต่อด้วยช่องด้านบน  

ช่องแรกคือ Simpleง่ายสุดเลย
        • Present Simple เป็นแบบที่เราเรียนกันมาง่ายๆ เลย “Sub + V1” (เติม s/es เมื่อประธานเป็นเอกพจน์)
        • Past Simple ก็ง่ายอีก “Sub + V2” ไปเลย ในเมื่อ V2 มันก็คือกริยาที่ใช้สำหรับในอดีตอยู่แล้ว
        • Future Simpleเอา “Sub + will + Vinf” โดยที่คำว่า will แปลว่า "จะ" มันจะทำหน้าที่เป็นกริยาช่วยในประโยค ตามด้วย Vinf ก็คือ Verb ที่ไม่เปลี่ยนไม่เติมอะไรใดๆ ทั้งสิ้น หรือแบบที่เราจำกันมาตลอดว่า Sub + will + V1 นั้นแหละ เราก็จำว่า ถ้าจะบอกว่า จะทำนู้น จะไปนี่ จะเอานั่น เราก็แค่ใช้ “will + verb” ข้างหลังที่ไม่ต้องไปเติมไรให้มันอีก เพราะ will บอกไปหมดแล้วว่ามันเป็นอนาคต เราเหลือแค่ต้องบอกว่าจะทำอะไร แค่นั้นพอ อย่าเยอะ!
     
  
ช่องที่สองคือ Continuous รูปประโยคของมันจะเป็น V. to be + Ving
       (Verb to be ก็คือ is am are เป็น อยู่ คือ ที่ท่องกันมานั้นแหละ)
        "มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น V.to be + Ving โดยที่เราผันตัว V.to be ไปตามเวลาของมัน แต่ Ving คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็น Continuous คือ Ving"
         • Present Continuous ก็เลยจะเป็น Sub + is/am/are + Ving ดังนั้นเมื่อไหร่เจอ I'm kicks. I'm loves. ผิดทันที!!! แต่ถ้าเจอ I'm kicked. I'm loved. อาจจะไม่ผิดนะ เป็นรูปประโยคแบบ Passive Voice ต้องแปลความหมายเอา แต่พวก I'm said....ผิดทันที
       • Past Continuous รูปประโยคแบบเดิมเปี๊ยบแต่เราผันตัว is/am/are ให้กลายเป็นอดีตไปซะ ก็จะได้เป็น Sub + was/were + Ving
       • Future Continuous พอเป็นอนาคต เราก็ต้องใช้ “will” มาบอกว่าเรา "จะทำ" แล้วหลัง will มันต้องไม่เปลี่ยน ไม่เติมอะไร เราก็เลยได้เป็น “Sub + will + be + Ving” และ “be” ตรงกลางนั่นก็มาจาก V. to be ไง จำได้มั้ยรูปประโยคต้องเป็น V.to be + Ving ตลอด
      สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Continuous ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน
       จะมีกรอบสีเหลืองที่เป็น V.to be ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีส้ม คือ Ving ตลอด !!!!!!!!!


ช่องถัดมาคือ Perfect รูปของมันจะเป็น V. to have + V3 (ที่ดูเหมือนยาก แต่ก็ไม่ยากเลย)
        "มันจะอยู่ช่วงเวลาไหน มันก็เป็น V.to have + V3 โดยที่เราผันตัว V.to have ไปตามเวลาของมัน แต่ V3 คงเดิมตลอด เพราะตัวที่บอกความเป็น Perfect คือ V3"
          • Present Perfect ก็เลยเป็น "Sub + has/have + V3" ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ (He, She,I t, คน สัตว์ ของ 1 อัน) ก็ใช้ "has" ถ้าเป็นพหูพจน์ (You, We, They, คน สัตว์ ของมากกว่า 1) ก็ใช้ "have"
          • Past Perfect แบบประโยคเหมือนเดิม แต่เราต้องทำ has/have ให้มันเป็น ช่อง 2 เพราะ V2 คือ V ที่บอกอดีต แล้วช่อง 2 ของ has/have ก็คือ had เราเลยได้เป็น "Sub + had + V3" อุต๊ะ ง่ายจิมจิม!!
       • Future Perfect พอเป็นอนาคตก็ต้องบอกว่า "จะ..." เหมือนเดิม ได้เป็น "Sub + will + have + V3" เพราะหลัง will บอกแล้วว่า verb มันต้องธรรมดา ไม่เติม ไม่เปลี่ยน เลยต้องกลับมาใช้ have ธรรมดา แล้วก็ตามด้วย V3 ซะ ได้ Perfect ด้วย แล้วยังเป็น Future อีกต่างหาก
       ***และใช้ have อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ has จำซะว่าเราเน้นบอกว่ามันเป็นอนาคต ส่วน Perfect เราแค่มี have + V3 มันก็ perfect แล้วไง ไม่ต้องไป has ให้มันเยอะ!! ดังนั้นเมื่อไหร่ใช้ will has ..... หรือ will had.....  หรือ will v3..... ผิดทันที !!!!!!!!***
        สรุป ไปดูในรูปจะเห็นว่า ช่อง Perfect ในแนวตั้ง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน
       จะมีกรอบสีพีชที่เป็น V.to have ตลอด และที่สำคัญที่สุดคือ มีตัวสีชมพู คือ V3 ตลอด !!!!!!!!!

สุดท้ายยยยยก็คือ Perfect Continuous
        "ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า Perfect Continuous มันก็เลยต้องมีทั้ง Perfect คือ have + V3 แล้วก็ Continuous ก็คือ Ving ด้วย รูปประโยคของมันก็เลยเป็น Sub + V. to have + V.3 (ซึ่งในที่นี้คือ been ซึ่งเป็นช่อง 3 ของ be) + Ving"
        • Present Perfect Continuous จากรูปแบบมันเราเลยได้เป็น "Sub + has/have + been + Ving" โดย has/have been ก็บอกความเป็น perfect ส่วน Ving ก็บอกความเป็น Continuous จับมาต่อกัน
        • Past Perfect Continuous จับ has/have มาทำเป็นอดีตซะ ที่เหลือไม่ต้องเปลี่ยน ก็ได้เป็น “Sub + had + been + Ving” ซึ่ง had ก็บอกว่าเป็นอดีต แล้ว had+been ก็บอกความเป็น perfect แล้ว Ving ก็บอกความเป็น Continuous ครบ!!!
        • Future Perfect Continuous เป็น future เมื่อไหร่ ใช้ will เมื่อนั้น! มี will เมื่อไหร่หลัง will เป็น have เท่านั้น เราก็เลยได้ว่า “Sub + will + have + been + Ving” โดย wil บอกความเป็นอนาคต have been บอกความเป็น perfect แล้ว Ving ก็บอกความเป็น Continuous !!!!!
        ***ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ใช้***
       will + has + been + Ving ผิดทันที!
       will + been + Ving ผิดทันที!

       will + have + be + Ving ผิดทันที !!!!!!!